ในเช้าวันใหม่ที่เริ่มขึ้น ดวงจันทร์ยังไม่มิทันลาลับไปจากฝากฟ้า แลเวลานั้นพระอาทิตย์ก็ยังไม่ทันตื่นนอน แต่ฉันตื่นนอนมาได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว เป็นวันที่อยากพาตัวเองออกมาจากห้องสี่เหลี่ยม เข้าสู่ป่ากลางใจเมืองกรุงอย่างมาก
…
ณ ห้วงยามนั้น พอจะเห็นแสงรำไรบ้างแล้ว รีบผุดลุกขึ้นจากที่นอน เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดออกกำลังตัวเก่ง จับมือถือคู่ใจคว้าใส่กระเป๋าคาดเอว ย่ำขาลงมาจากที่พักพร้อมกับผ้าใบคู่เก่ง ลงมาถึงด้านล่างแล้ว วันนี้ท้องฟ้ายามสาง เจอจางด้วยเมฆขมุกขมัว ฟ้าแดงระเรื่อ ทำให้แอบประหวั่นพรั่นพรึงในใจไม่น้อยเลยว่าฝนจะตกไหมตามที่พยากรณ์อากาศเตือนไว้ไหม อีกใจก็บอกตัวเองว่าไปเถอะๆ เธอถวิลหามันมานานพอแล้ว
…
เดินผ่านร้านข้าวแกงใกล้ๆ พี่สาวเจ้าของรสมือชั้นยอดร้องทัก ออกไปไหนแต่เช้าจ๊ะคนสวย ยิ้มสวยๆ แล้วตอบกลับไปว่าไปออกกำลังกายค่ะ เป็นยิ้มแรกที่ได้สัมผัสของวันนี้
…
วันนี้เลือกที่จะไม่หยิบฉวยจักรยานป้าอ้วนคู่ใจไปด้วยหรอกนะคะ กระโดดขึ้นรถเมล์ไปค่ะ ไม่ถึง 3 นาทีก็ถึงป้ายรถเมล์ใกล้สวนรถไฟแล้ว จั้มอ้าวตั้งแต่วินาทีนั้น ด้วยน้ำหนักตัวที่มากอักโข ช่วงนี้ไม่ค่อยกล้าวิ่งหรอกนะคะ เกรงใจหัวเข่า และก็อยากจะกลับมาวิ่งมาราธอนอีกครั้งด้วย ก็เลยตั้งใจเดินเร็วๆ เอาค่ะ
…
มาถึงก็ได้ภาพสวยๆ ไปหลายช็อตเลย ส่วนตัวเราชอบภาพแนวนี้ เราว่ามันอาร์ตดี อากาศดูเหมือนจะเป็นใจเย็นสบายดีแท้ บางคนก็มาปั่นจักรยาน บางคนก็วิ่ง หรือบางคนก็เดินค่ะ สบายๆ ป้าอ้วนเดินย่ำเท้าเร็วๆ เอาค่ะ
…
ได้เหงื่อพอสมควรเลยล่ะ อากาศในสวนรถไฟนี้ช่างแตกต่างกับเมื่อ 10 นาทีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง เราหายใจโล่งปลอดพร้อมกับย่ำเท้าไปเบาๆ ตามจังหวะ ช่วงนี้ป้าอ้วนหนักเนื้อหนักตัวมาก แต่ก็ไม่เกินแรง อาศัยบุญเก่าค่ะ ไม่เหนื่อยมากนักหรอก แต่ก็ไม่พริ้วเหมือนสมัยก่อน ย่ำเท้าเป็นจังหวะไปเรื่อยๆ ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกประดู่โชยมาเป็นระยะๆ นึกในใจวันนี้ต้องรีบเดินหน่อย จะได้มีเวลากลับมาถ่ายรูปดอกประดู่สวยๆ เพราะลองสำรวจดูแล้ว วันนี้ต้องบานสะพรั่งแน่ๆ
…
ยิ้มกลุ้มกริ่มไปตลอดทาง เหลือบมองดูแล้วก็แอบตื่นตาตื่นใจ ว้าว..ยังไม่ทันสว่างดี ก็ได้ภาพสวยๆ แบบนี้
ที่สวนรถไฟนี่แปลกดี มันมีชีวิตชีวาอย่างไรบอกไม่ถูก เมื่อก่อนถ้ามาสวนนี้จะวิ่งไม่ต่ำกว่า 2-3 รอบ แต่ตอนนี้ไม่ไหวเอาซะจริงๆ ไม่ใช่วิ่งไม่ไหวหรอกนะคะ ใจไม่กล้า..และเชื่อว่าสักวันจะต้องกลับมาผอมได้อีกแน่ๆ เราจึงต้องถนอมหัวเข่าเอาไว้ก่อน อายุเริ่มเยอะแล้วอะไหร่หายากค่ะ แล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรดีเท่าของดั้งเดิมที่คุณพ่อคุณแม่ท่านให้มาก็เลยเลือกที่จะเดินเร็วๆ ไปก่อน
…
ชื่นชอบความหลากหลายของสวนรถไฟนะ เราว่าที่นี่เต็มไปด้วยความหลากหลายที่กลมกล่อมอยู่ร่วมกันอย่างลงตัว คนส่วนใหญ่มักจะมาใช้เวลาร่วมกันที่นี่ในวันหยุด แต่วันธรรมดานี่ก็ไม่น้อยนะ เป็นชุมชนของคนที่รักตัวเองจริงๆ
…
ในช่วงต้นนี่สปีดสุดแรง ด้วยกลัวจะกลับไปทำงานไม่ทัน และก็ไม่ลืมความตั้งใจเดิม หยุดถ่ายภาพเป็นระยะๆ ตามประสา เราว่ามันเป็นโมงยามของการบำบัดที่วิเศษมาก เราว่าท่ามกลางสังคมเมืองหลวงความละเมียดละไมในชีวิตมันหล่นหายไปเยอะ หากเจียดเวลาให้ตัวเองสักวันละ 1-2 ชม. อาทิตย์ละ1-3 ครั้งได้ จะช่วยล้างตะกอนในใจคนเราได้เยอะ ความเครียดสะสม ความเร่งรีบ ความกดดัน เวลาได้กลับคืนสู่ธรรมชาติเดิมแท้ มลพิษเหล่านั้นมันสูญสลายไปได้เกือบทั้งหมด
…
จึงไม่น่าแปลกใจ..ที่วัยรุ่นสมัยนี้เขาจึงนิยมพูดติดปากกันว่า หากคุณรู้สึกเครียดให้เดินเข้าป่า.. วันนี้ป้าอ้วนพามาสัมผัสกับป่ากลางใจเมืองที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีเหลือง และความเขียวขจีของแมกไม้ที่นี่ สวนรถไฟค่ะ
ต้นจามจุรีนี่แผ่กิ่งก้านกว้างใหญ่ เป็นที่พักพิงแด่นกกา และมวลหมู่สิ่งมีชีวิตนานา เราลองโอบกอดดูแล้ว ป้าอ้วนตัวอ้วนๆ นี่ดูเล็กถนัดตาไปเลยทีเดียว
…
ช่วงเดือนนี้ดอกจามจุรีบานสะพรั่ง สีสวยเหมือนชุดของนักเต้นระบำ ปกติไม่เคยได้เห็นเธอใกล้ๆ แต่วันนี้เห็นสีสันของเธอได้อย่างใกล้ชิด ถึงแม้เธอจะโรยราไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังสวยสะดุดตาอยู่เช่นเคย
…
เดินเลยจากจุดนี้ไปสักหน่อยก็ต้องสะดุดตากับดอกไม้เล็กๆ สีชมพูอมส้ม ต้นนี้ไม่รู้ว่าชื่ออะไรแต่ก็สวยเบาๆ ดี แต่ก็สูงจนเกินกว่าจะถ่ายภาพสวยๆ มาให้ชมได้
…
เดินไปสักพักก็เจอกับพี่นักวิ่งเจ้าประจำ เราวิ่งในสวนจตุจักรกับพี่ๆ เค้าเสมอ เมื่อหลายปีก่อนนี่กวดฝีเท้าตามยังพอได้ แต่ตอนนี้ขอดรอปไว้ก่อน อีกไม่นานจะกลับมาตามเก็บให้ทันให้ได้เลย ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง ทักทายกันได้พอหายคิดถึง ก็ย่ำเท้าไปต่อ
…
ตอนนี้สวนรถไฟเดินง่ายขึ้นเยอะ ไม่ต้องพะวงว่าจะขวางทางจักรยาน ที่นี่ทำเลนส์สีเขียวสำหรับจักรยานโดยเฉพาะ เห็นมุมนี้แล้วอดเก็บภาพมาฝากไม่ได้เลย สวยยังกับไม่ใช่สวนในเมืองหลวงใหญ่ใจกลางมหานครแห่งนี้
…
แต่เอ๊ะ..ชักจะแปลกๆ แล้ว อากาศเย็นๆ ลมโชยแรงกว่าปกติ ดอกประดู่ร่วงกราวเป็นสัญญาณเตือนยังกับว่าฝนจะมา ย่ำเท้าเร็วกว่าเดิมอีกนิด จากนั้นก็เริ่มตัดสินใจเลี้ยวตัดกลางสวนเพื่อลดระยะทาง กลัวฝนตกค่ะ จริงๆ ก็ไม่ได้กลัวสายฝนหรอกนะคะ แต่วันนี้ไม่ได้พกถุงพลาสติกมาด้วย แล้วไม่แน่ใจว่ากระเป๋าคาดเอวตัวเองที่เป็นผ้ากันน้ำ จะกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะสอยมาจากร้านมือสองราคาไม่แพงนัก แต่ก็ชอบสีสัน และการตัดเย็บ
…
เลี้ยวไปไม่ทันถึง 200 เมตร สายฝนโปรยปรายลงมาเป็นสาย ดูแล้วจะหนักหนาเอาการ ณ ห้วงเวลานั้นนึกอยู่ในใจ 2 อย่างคือ วิ่งไปข้างหน้าซึ่งก็น่าจะราว 800 เมตรได้ หรือย้อนกลับไปหลบฝนตรงจุดที่พึ่งจะผ่านมา ด้วยระยะทางแล้วแทบจะไม่ต้องคิดนาน วิ่งย้อนกลับขึ้นมาทันควัน
…
อ้า..เพื่อนเยอะ ทั้งผู้ชายผู้หญิง เพื่อนผู้รักสุขภาพเต็มเลย โชคดีที่ห้องน้ำปรับปรุงใหม่แล้ว กว้างขวาง และสะอาดมากทีเดียว ยืนหลบฝนที่นี่ล่ะค่ะ หมุนเอวเล่นๆ ระหว่างรอ ภาพมุมนี้สวยสบายตามาก อดไม่ได้ที่จะถ่ายเก็บไว้
…
ติดฝนอยู่ราว 10-15 นาที เห็นจะได้ ฝนเริ่มซาลงบ้างแล้ว ถึงแม้จะไม่หยุดสนิทนักแต่ก็พอย่ำเท้าต่อไปได้ ดูเวลาแล้วกลับไปทำงานทันแน่นอน
…
กลิ่นป่ากลางกรุงยามต้องฝนนี่ช่างสะอาด บริสุทธิ์เหลือเกิน สูดหายใจเต็มๆ ปอด กลิ่นประดูหอมไปทั่วสวน แมกไม้ใบหญ้าก็เขียวขจี ป้าอ้วนก็จะหน้าบานๆ หน่อยล่ะค่ะ สารภาพว่าไม่เคยถ่ายภาพเธอได้ชัดเท่านี้มาก่อน และไม่คิดว่าจะได้ดอมดมเธออย่างใกล้ชิดขนาดนี้ ดีต่อใจแท้ๆ
…
คุณป้าสองท่านนี้หลบฝนอยู่ที่เดียวกัน ฝนซาแล้ว ก็ชวนกันมานั่งพัก.. ดีงามแท้ๆ มีเพื่อนที่คุยกันท่ามกลางสวนสวยหลังฝนตกเคล้ากลิ่นดอกประดู่หอมๆ ต้นไม้ใบหญ้าชุ่มชื่น คงจะดีไม่น้อยหากยามสูงวัยมีเพื่อนมานั่งคุยกันแบบนี้ เผลอฟุ้งไปในอนาคต
…
เมื่อก่อนมาวิ่งสวนรถไฟบ่อยๆ ไม่ค่อยกล้ามาเช้าหรอกนะคะ กลัว..แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเลยค่ะ ที่นี่จะมีเจ้าหน้าที่เวรยามตลอด แถมมีนักปั่นที่วนรอบมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาจะวนมาหาเราเป็นระยะๆ และที่สวนสวยสะอาดได้ขนาดนี้นี่ ไม่ใช่ใครเลยคุณลุงคุณป้าเจ้าหน้าที่เก็บกวาดกันทุกวัน สบายใจหายห่วงได้เลยค่ะ
…
ต้องรีบกลับแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะไปยังหมุดหมายแรกที่หวังใจไว้ เดินย้อนกลับไปตรงจุดนั้น ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ สวยเกินจะบรรยายออกมาเป็นภาพ และก็ถ่ายได้ไม่สวยอย่างที่ใจหวังไว้ ด้วยกล้องมือถือก็มีข้อจำกัดหลายสิ่งอย่างไม่น้อย แต่ก็นั่นล่ะ อย่างไรป้าอ้วนก็ยังคงมีความสุขกับการถ่ายภาพจากกล้องมือถืออยู่ดี
…
เดินย้อนกลับไปตรงจุดเริ่มต้น โอ้ว..แม่เจ้า งดงามอะไรเยี่ยงนี้ ประดู่บานสะพรั่งเต็มต้น แถมอยู่ใกล้เราอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน กดชัตเตอร์รัวมาก นี่ลงทุนนอนฟุบไปกับสนามหญ้า ในใจคิดว่าอยากจะอยู่ต่อตรงนี้สักอีก 2 ชม. ตั้งใจจะใช้ลาพักร้อนกันเลยทีเดียว แต่ก็นั่นล่ะ ใจมันบอกว่าพอแล้วกลับเถอะ(ฮา)
…
ตรงจุดนี้มองออกไปเห็นสวนโมกข์กรุงเทพฯ ด้วย ถ้ามีกล้องใหญ่ภาพต้องออกมาสวยมากแน่ๆ แต่ก็เก็บมาได้ 2-3 ภาพ อยากจะบอกว่าวันนี้เราโค้งคำนับกับจุดที่เราชื่นชอบ โค้งให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะเคยทำ กอดต้นไม้ใหญ่มากๆ แบบที่ไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนาน และบอกกับตัวเองในใจว่าขอบคุณเท้าทั้งสองข้าง และตัวเองที่พาตัวเองออกมาที่นี่ ณ ห้วงเวลานี้
…
เดินย้อนกลับออกไปทางเดิมด้านสวนโมกข์กรุงเทพฯ จะว่าไปแล้วที่นี่บ่มเพาะอะไรหลายๆ อย่างในตัวเราในวันที่เราพบปัญหาที่ไม่รู้ทางออก วันที่เราเริ่มต้นจะเรียนเพื่อรู้จักโลกด้านในของตัวเอง วันที่เราเริ่มแบ่งปันที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับผู้อื่น วันที่เราเริ่มมองเห็นโลกตามที่เป็นจริง และวันที่เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเองในทุกปัจจุบันขณะ เราเติบโตขึ้นได้เพราะที่แห่งนี้ ขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณอีกครั้งที่ฉันได้รู้จักที่นี่ และขอบคุณที่ทำให้ฉันได้รู้จักกับตัวเอง 4 เมษา 2561 ในวันที่ฝนตกตอนหน้าแล้ง พลังชีวิตของฉันคืนกลับมาเต็มขีดพอดิบพอดี พร้อมลุยต่อ
เรื่อง และภาพโดย : ป้าอ้วน
ป้าอ้วนเบกกิ้งโฮม
http://www.pobh.live
line : pobh.live